2.3 การบาดเจ็บที่หน้าอก จากเข็มขัดนิรภัย
การบาดเจ็บต่อร่างกายมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับอวัยวะทุกส่วน ถ้าหากว่าอวัยวะชิ้นนั้นๆ ได้รับแรงกระแทกที่มากเกินกว่าโครงสร้างบริเวณนั้นของร่างกายจะสามารถรับได้
เนื่องจากรถยนต์เป็นวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เมื่อเกิดการชนจนทำให้หยุดกะทันหัน
โมเมนตัมที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่างทันทีทันใด จะทำให้อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆน้อยๆที่มองดูไม่น่าจะมีพิษภัย
ก็สามารถก่อแรงกระแทก ขนาดมโหฬารต่อร่างกายได้
ก่อนจะมาเป็น PRETENSION
เข็มขัดนิรภัยในยุคเริ่มแรก เป็นเพียงสายรั้งตัวธรรมดาที่ไม่มีกลไกซับซ้อนใดๆเข้ามายุ่งเกี่ยว
แม้จะมีประสิทธิภาพในด้านการยึดรั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไว้กับเบาะที่นั่ง
จนเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล แต่อาจจะไม่สามารถทำการยึดรั้งร่างกายได้ดีพอ
เนื่องจากบางครั้งยังมีความหย่อนตัวเกิดขึ้น
ทำให้ร่างกายผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารยังพุ่งไปด้านหน้าได้ การพัฒนาต่อมาจึงเพิ่มกลไกการดึงกลับ
เพื่อให้สายเข็มขัดกระชับตัวมากขึ้นในจังหวะที่เข็มขัดนิรภัยทำงาน
ระบบการดึงกลับที่พัฒนาขึ้นมามีอยู่ 3-4 แบบ แต่ที่คุ้นกันดีคงจะเป็นระบบPRETENSION
ไม่ว่าจะระบบไหนก็ตาม เป้าหมายคือ ต้องการให้สายเข็มขัดมีการกระชากกลับ
เพื่อยึดตัวผู้ที่อยู่ในที่นั่งให้มั่นคง ลดโอกาสเกิดการเสียชีวิตลงไปได้มาก
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
ผลข้างเคียงที่อาจจะตามมา ถ้าแรงกระชากกลับมีมากจนเกินไป คือการบาดเจ็บของบริเวณหน้าอกเอง
ในรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บาดเจ็บจากรถยนต์ในประเทศอังกฤษชิ้นหนึ่ง
ชี้ให้เห็นว่าในอุบัติเหตุรุนแรงจำนวน 3,276 รายนั้น มีผู้ได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอกเล็กน้อย
(MILD
INJURY) จากเข็มขัดนิรภัย (SEATBELT LOADING) เกิดขึ้น 29.6 เปอร์เซ็นต์
ระดับปานกลาง 19.4 เปอร์เซ็นต์ และระดับรุนแรง 4.5 เปอร์เซ็นต์
การบาดเจ็บที่พบบ่อยคือกระดูกหน้าอกหัก (STERNAL FRACTURE) ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตต่อผู้ป่วยได้ รายงานที่ค่อนข้างรุนแรงอีกชิ้นหนึ่งมาจากสหรัฐอเมริกา โดยผู้ป่วยจากรถชนกันที่ความเร็วสูงมาก 1 ราย ได้รับบาดเจ็บโดยมีเส้นเลือดแดงใหญ่ซึ่งออกมาจากหัวใจ (AORTA) ฉีกขาด ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าน่าจะเกิดจากแรงกระชากที่เกิดจากการดึงกลับของเข็มขัดนิรภัย ทำให้เกิดความดันขนาดสูงขึ้นในช่องทรวงอกและเกิดการแกว่งตัวของหัวใจ จนทำให้บริเวณขั้วของหลอดเลือดดังกล่าวฉีกขาด
ถ้านึกไม่ออกว่าแรงกระชากที่ว่ารุนแรงขนาดไหน การทดสอบการชนรถยนต์รุ่นหนึ่งพบว่า แรงกระชากที่กระทำต่อหน้าอกหุ่นทดสอบซึ่งเกิดจากเข็มขัดนิรภัย ขณะที่รถพุ่งเข้าชนสิ่งกีดขวาง วัดได้ถึง 8,000 นิวตัน หรือประมาณ 800 กิโลกรัม !!
อย่างไรก็ตาม ทุกท่านคงตระหนักดีว่า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดข้างต้นที่กล่าวมาคงจะเสียชีวิต ถ้าหากไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ดังนั้นไม่ควรเข้าใจผิดว่าเข็มขัดนิรภัยเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มการบาดเจ็บต่อร่างกาย
เข็มขัดนิรภัยยุคใหม่
จุดอ่อนเล็กน้อยของเข็มขัดนิรภัยนี้กำลังได้รับการแก้ไขโดยบริษัทรถยนต์หลายบริษัท
ซึ่งอีกไม่นานคงจะเริ่มวางตลาด ตัวอย่างชิ้นหนึ่งคือ ระบบ AIR BELT
ของฮอนด้า เป็นถุงลมขนาดเล็กซึ่งติดตั้งอยู่กับสายคาดลำตัวตั้งแต่หัวไหล่ลงมา
ถุงลมนี้จะทำงานเมื่อเซ็นเซอร์ถูกกระตุ้น และจะช่วยดูดซับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นต่อหน้าอก
อีกระบบหนึ่ง เป็นของโตโยต้า ซึ่งมีการติดตั้งในรถยนต์เลกซัสแล้ว
รวมไปถึงรุ่นอื่นๆที่จะวางตลาดในอเมริกา เป็นการปรับปรุงระบบการทำงานแบบ
PRETENSION เดิม โตโยต้าเรียกระบบใหม่นี้ว่า PRE-TENSIONERS WITH
FORCE LIMITING SEATBELTS ระบบนี้จะลดเวลาการตอบสนองของ PRETENSION
ลง นั่นคือเข็มขัดนิรภัยจะทำงานเร็วขึ้น แต่ก็จะมีกลไกลดแรงกระชากลง
ซึ่งจะค่อยๆทำงานโดยมีแท่งโลหะอลูมิเนียมเป็นเหมือนตัวตรวจสอบแรงกระชาก
ถ้าแรงกระชากสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ แท่งอลูมิเนียมดังกล่าวจะค่อยๆยุบตัว
แรงกระแทกต่อหน้าอกส่วนหนึ่งจึงถูกดูดซับลงไป
ไม่กระแทกไปที่หน้าอกอย่างรุนแรงทันทีทันใดเหมือนระบบเดิมๆ
โอกาสที่ซี่โครงจะหัก หรือปอดฉีกขาดก็จะลดลงไปด้วย
แม้ว่าเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนจะแพร่หลายมาสู่ผู้ใช้รถยนต์ในวงกว้าง
แต่ในปัจจุบันนี้เข็มขัดนิรภัยที่ใช้กันอยู่ก็ยังไว้วางใจได้ดี และไม่ควรละเลยการคาดเด็ดขาด
ไม่เช่นนั้นอาจจะมีผลต่อความปลอดภัยของท่านเอง รวมไปถึงต้องเสียค่าปรับโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
!