บทที่ 6  รถยนต์กับสิ่งแวดล้อม

6.1  ลดกำมะถัน เพื่ออากาศบริสุทธิ์

ในสังคมที่รถยนต์กลายเป็นปัจจัยที่ห้าในการดำรงชีพ  โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆทั่วโลก สาเหตุหลักของมลภาวะทางอากาศคงหนีไม่พ้นไอเสียจากรถยนต์   เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ถึงกับมีเมืองหลวงของบางประเทศต้องประกาศ "ปิดเมือง"ห้ามรถยนต์วิ่ง เนื่องจากปริมาณกาซพิษขึ้นสู่ระดับที่สูงมาก จนเป็นอันตรายต่อประชาชน

ในบรรดาจำเลยที่ถูกพาดพิงถึงบ่อยๆได้แก่ สารไฮโดรคาร์บอนหรือเบนซิน, ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx), คาร์บอนมอนอกไซด์  และฝุ่นละอองในอากาศ

แต่ในน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งน้ำมัน"เบนซิน"ที่เราชอบเรียกขานกัน และน้ำมันดีเซลล้วนมีสารอีกตัวหนึ่งได้แก่กำมะถัน  เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยในปริมาณน้อยๆ แม้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำอันตรายต่อผู้คน เท่าพวกพ้องอีก 2 - 3 ตัวที่ขึ้นชื่อไว้ แต่ปัญหาที่ถูกเพ่งเล็งคือ"กำมะถัน"ทำตัวเป็นพิษต่อระบบกำจัดไอเสียของรถยนต์

พิษจากออกไซด์ของไนโตรเจน และ PM10

เมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา (1998)  มีการเสนอในที่ประชุมกลุ่มประชาคมยุโรป ให้ลดค่ามาตรฐานของสารพิษที่สำคัญในอากาศคือ NOx   และ  PM10 (ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน)  ลงจากปัจจุบัน  เนื่องจากทั้งคู่มีส่วนสำคัญ ในการทำให้เกิดความผิดปกติร้ายแรงต่อระบบทางเดินหายใจ  ประมาณว่าในปีหนึ่งๆ  เฉพาะในอังกฤษ มีผู้เสียชีวิตจากการสูดดม PM10 มากกว่า 10,000 คน

โดยทั่วไปเท่าที่สัมผัสได้และมองเห็นด้วยตาเปล่า จะพบว่ามีฝุ่นละอองล่องลอยในอากาศเป็นจำนวนมาก แต่ฝุ่นที่เห็นหรือสัมผัสได้นี้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งเมื่อสูดดมเข้าไปมักจะถูกดักจับไว้ได้ด้วยขนจมูก  หรือเยื่อบุหลอดลมที่มีขนเล็กๆและเมือกคอยดักจับสิ่งแปลกปลอม  จะมีฝุ่นที่ขนาดเล็กกว่า 10 - 20 ไมครอนเท่านั้น ที่จะเล็ดลอดลงไปถึงหลอดลมขนาดเล็กๆลึกลงไปในปอด และทำอันตรายต่อร่างกายได้

แก้ไม่ได้ ถ้ายังมีกำมะถัน

NOx สามารถถูกกำจัดโดยคาตาไลติค  คอนเวอร์เตอร์  ในขณะที่ PM10 สามารถใช้ตัวกรองดักจับได้  แต่อุปกรณ์ทั้งสองจะมีประสิทธิภาพลดลง ถ้าในเชื้อเพลิงที่ใช้มีปริมาณกำมะถันอยู่สูง  เพราะฉะนั้นเป้าประเด็นจึงพุ่งไปที่ การลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงลง

มีการประมาณกันว่าในกรุงลอนดอน  เครื่องยนต์ดีเซลจากรถประจำทาง  รถบรรทุก และแทกซี่เป็นผู้สร้าง PM10 ถึง 90 เปอร์เซนต์ของ PM10 ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศทั้งหมด และเครื่องกรองไอเสียหรือแคตตาไลติค คอนเวอร์เตอร์ ที่ติดตั้งในรถดีเซลรุ่นเดิมๆ ก็มีเพียงขีดความสามารถในการกำจัดคาร์บอนมอนอกไซด์และไฮโดรคาร์บอน  แต่ไม่สามารถจัดการกับ NOx  ได้  สำหรับแคตที่สามารถกำจัด NOx  (de NOX-KAT) ในรถยนต์ดีเซลออกไปได้นั้นเพิ่งมีการคิดค้นขึ้นไม่นานนี้ แต่มีข้อแม้คือต้องใช้ร่วมกับน้ำมันที่มีระดับกำมะถันต่ำมาก และเช่นเดียวกัน อุปกรณ์ดักจับ PM10 ที่พัฒนาขึ้นมา  ซึ่งมีหลักการทำงานโดยการเผาผลาญอนุภาคเหล่านี้ให้หมดสิ้น  ด้วยการใช้พลาตินัมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา  ก็มีจุดอ่อนที่พลาตินัมจะเสื่อมสมรรถภาพถ้าเจอกับกำมะถันเข้า ระดับกำมะถันที่ผู้ผลิตอุปกรณ์นี้กล่าวว่าสามารถทนได้มีค่าเพียง 10 ส่วนในล้านส่วน (ppm) เท่านั้น

ปัจจุบันในบางประเทศเช่นในกลุ่มสแกนดิเนเวีย  มีระดับกำมะถันในเชื้อเพลิงต่ำมาก ที่ระดับประมาณ 10 - 50 ppm เท่านั้น ในขณะที่พื้นที่อื่นๆในยุโรปมีระดับกำมะถันเฉลี่ยในน้ำมันดีเซลที่ระดับ 200 ppm…

ความต้องการระดับกำมะถันอยู่ที่เท่าไหร่ ?

เมื่อ 2 ปีก่อน ที่ประชุมรัฐสภายุโรป เสนอให้ลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเบนซินลงเหลือ 30 ppm ภายในปี ค.ศ.2000 (ขณะนี้ ระดับสูงสุดของกำมะถันในน้ำมันดีเซลสำหรับยุโรป ตามมาตรฐาน EU 1996 standard -EN 590 อยู่ที่ 500 ppm)   สำหรับน้ำมันดีเซลให้ลดเหลือ 100 ppm ในปี 2000 และภายในปี 2005 ต้องลงไปที่ระดับ 50 ppm เป้าหมายหลักของอากาศบริสุทธิ์ในเมืองใหญ่เพ่งเล็งไปที่ น้ำมันดีเซลซึ่งสรุปว่าเป็นต้นตอสำคัญของ   NOx  และ PM10

แน่นอน  นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ รีบออกมาสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว เพราะการจะสร้าง "CLEAN VEHICLE" ออกมาโดยยังมีเชื้อเพลิงที่ไม่สะอาดย่อมเป็นภาระหนักกับผู้ผลิตรถยนต์  แต่ผู้ที่เดือดร้อนจากเกณฑ์ดังกล่าวคือบริษัทน้ำมันทั้งหลายก็ออกโรงตอบโต้ เพราะต้องเสียเงินในการปรับปรุงกระบวนการกลั่นเพิ่มขึ้นไปอีก

ตัวแทนจากบริษัทน้ำมันกล่าวว่ากลุ่มบริษัทน้ำมันในยุโรป  เพิ่งจะลดค่ากำมะถันจาก 2000 ppm ลงเหลือ 500 ppm เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว  ถ้าจะต้องลดลงอีกตามที่เสนอไว้ อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบการกลั่นน้ำมัน สูงถึงห้าแสนล้านบาททีเดียว  พร้อมทั้งโยนไปให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ว่า การจะปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ให้ผลิตมลภาวะลดลง  จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการปรับปรุงน้ำมันถึง 6 - 7 เท่าทีเดียว

ดูเหมือนว่าจะมีผู้เข้าข้างบริษัทรถยนต์มากกว่าบริษัทน้ำมัน  นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบอกว่า
การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันจะมีผลต่อสภาวะแวดล้อมทันที  นั่นหมายถึงทั้งรถเก่าและรถใหม่ก็จะผลิตมลภาวะลดลง และยังมีผู้คำนวณออกมาว่าสำหรับการลดปริมาณกำมะถันให้เหลือ 30 ppm นั้น  ผู้ที่ใช้รถยนต์เฉลี่ย 12,600 กิโลเมตรต่อปี  น่าจะเสียค่าน้ำมันอันเป็นผลพวงจากการปรับปรุงครั้งนี้เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 230 บาท

มาตรการใหม่นี้ มีทั้งประเทศที่สนับสนุน และประเทศที่คัดค้านอยู่ในกลุ่มประชาคมยุโรปนั่นเอง ขึ้นอยู่กับใครจะได้ประโยชน์จากฝ่ายใด …จนถึงวันนี้  เส้นทางสู่อากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ยังมีอุปสรรคขวากหนาม  และทอดตัวไปอีกยาวไกล