บทที่ 5 ปลอดภัยด้วยหมอนพิงศีรษะ

หมอนพิงศีรษะ สำคัญกว่าที่คิด

อุปกรณ์นิรภัยที่มีใช้กันในรถยนต์ทุกวันนี้ ก็เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุดจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ เราได้ทราบถึงประโยชน์ของเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัยกันมาบ้างแล้ว รวมถึงที่นั่งนิรภัย (ANTISUBMARINE) ที่มีการติดตั้งในรถยนต์ราคาปานกลางถึงราคาสูงในตลาด

แต่ยังมีอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่มีในรถยนต์ทุกระดับราคา ตั้งแต่ มิรา มาถึงเบนซ์ ที่น่าจะมีผู้ใช้รถอีกมาก ไม่ทราบว่าเป็นอุปกรณ์นิรภัยเช่นกัน  และยังมีการใช้งานกันไม่ตรงตามความวัตถุประสงค์ อุปกรณ์ที่ว่านี้คือ หมอนพิงศีรษะ (HEAD REST)

ผู้เขียน เคยทำการศึกษาเล็กๆชิ้นหนึ่งในบ้านเรา พบว่าจากกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ  มีผู้ปรับตำแหน่งหมอนพิงศีรษะถูกต้องน้อยมาก และส่วนใหญ่ก็เพราะบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจจะปรับให้อยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย

Whiplash injury

ลักษณะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและได้รับความสนใจมานาน  จากวิศวกรและแพทย์ที่ทำงานด้านความปลอดภัยในรถยนต์ มักเป็นการชนด้านหน้า (FRONTEND COLLISION) แต่ในระยะหลัง  ความสนใจต่อการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ ที่เกิดจากการถูกชนทางด้านหลัง (REAR-END COLLISION) ได้เพิ่มมากขึ้น การถูกชนในลักษณะนี้อาจทำให้มีการฉีกขาดของเอ็นยึดกระดูกต้นคอ และจากการสะบัดไปมาของคอคล้ายการสะบัดแส้  จึงเรียกการบาดเจ็บชนิดนี้ว่า Whiplash injury

เมื่อถูกชนจากด้านหลัง สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าถูกชนอย่างรุนแรงคือ  ตัวรถที่หยุดนิ่งอยู่  ได้รับแรงมากระทำให้พุ่งไปด้นหน้าอย่างรุนแรง  เกิดความเร่งขนาดสูงมากระทำกับตัวรถ ความเร่งนี้จะถ่ายทอดมาที่เบาะ ทำให้ลำตัวพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง  ในขณะที่ศีรษะที่มีความเฉื่อยอยู่ จะอยู่นิ่งในช่วงแรก ผลรวมที่เกิดขึ้นจากการที่ลำตัวพุ่งไปข้างหน้าในขณะที่ศีรษะอยู่นิ่ง ทำให้เกิดการเงยคออย่างรุนแรง แล้วสะบัดกลับไปข้างหน้าอีกครั้ง  (ดูภาพประกอบที่ 1 ) เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดในช่วงเวลาเพียง 0.2 วินาทีเท่านั้น

ผลที่ตามมาคือ เอ็นยึดกระดูกคอฉีกขาด เกิดอาการปวดต้นคออย่างรุนแรง พระเอกตลอดกาลได้แก่เข็มขัดนิรภัย ยังมีบทบาทสำคัญในการล็อกลำตัวไว้กับที่นั่งไม่ให้พุ่งไปข้างหน้า พระรองที่สำคัญต่อมาได้แก่หมอนพิงศีรษะนี่เอง เหตุผลคือ แม้ว่าลำตัวจะถูกยึดอยู่กับเบาะ แต่เบาะที่ยึดกับตัวรถก็ยังพุ่งไปข้างหน้า ศีรษะที่ไม่มีอะไรรองรับก็ยังแกว่งไปข้างหลังอย่างแรงได้ แต่ถ้ามีหมอนพิงศีรษะมารับไว้ก็จะช่วยไม่ให้คอเงยมากเกินไปจนเกิดอันตรายขึ้น

Head restraint ไม่ใช่ Head rest !!!

ผู้เชี่ยวชาญทางอุบัติเหตุท่านหนึ่ง ได้เขียนถึงเรื่องการปรับหมอนพิงศีรษะไว้อย่างน่าสนใจว่า ยังมีความเข้าใจผิดกันมากเกี่ยวกับ HEAD REST นี้ ที่จริงแล้วหมอนพิงศีรษะมีชื่อจริงว่า HEAD RESTRAINT ถ้าเมื่อใดมันถูกใช้เป็นตัว REST คอ เมื่อนั้นก็ผิดจุดประสงค์ทันที เพราะมันถูกออกแบบมาเป็นตัวให้ RESTRAINT หมายถึงให้การปกป้องต่อศีรษะและคอ ถ้าถูกปรับให้ต่ำลงมาเพื่อหนุนคอให้สบาย มันจะกลายสภาพเป็น จุดหมุนต่อต้นคอทันที  นั่นคือศีรษะจะสะบัดไปด้านหลังโดยมีหมอนพิงศีรษะเป็นตัวค้ำที่คอ ให้ศีรษะสะบัดไปข้าง หลังได้ดีและแรงยิ่งขึ้น

ปรับอย่างไร ให้ถูกต้อง

เมื่อผู้ขับขี่ ปรับหมอนพิงศีรษะ ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง มันจะป้องกันไม่ให้ศีรษะ สะบัดไปด้านหลังอย่างรุนแรง จนเกิดอันตรายดังที่กล่าวมาแล้ว  ภาพด้านบนนี้แสดงถึงการปรับโดยมีระยะ backset และ height ดังในภาพ

จากการทดลองเชื่อว่าระยะที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ ต้องปรับความสูงของหมอนพิงศีรษะให้สูงกว่าปลายบนสุดของใบหู และต้องให้มีระยะห่าง backset น้อยกว่า 10 ซม. และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าการออกแบบลักษณะหมอนพิงศีรษะในหลายๆ รุ่น จะมีการงองุ้มมาด้านหน้า เพื่อให้อยู่ใกล้ศีรษะที่สุด  การตรวจสอบตำแหน่งง่ายๆ คือ ถ้าพิงตัวลงไปที่เบาะเต็มที่ แล้วศีรษะด้านหลังส่วนที่เป็นกะโหลกแข็งๆ (Occiput) สัมผัสกับหมอนพิงศีรษะ แสดงว่าปรับได้ตำแหน่งที่ปลอดภัย ถ้าพิงไปแล้วหมอนมารับท้ายทอยอย่างสบาย เท่ากับว่าปรับหมอนต่ำเกิน อุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกันเสมอและไม่ต้องเน้นกันอีกแล้ว ก็คือเข็มขัดนิรภัย ถ้าปรับหมอนดีแต่ตัวพุ่งไปข้างหน้าได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

หมอนพิงศีรษะในอนาคต

ปัญหาการใช้งานหมอนพิงศีรษะไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เกิดในประเทศไทยเท่านั้น แต่พบได้ทั่วโลก  การแก้ปัญหาของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่ง จึงพยายามออกแบบ ให้หมอนพิงศีรษะ สามารถขยับตัวมันเองเข้ามาป้องกันศีรษะ และคอได้ ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ

 

ตัวอย่าง 2 ภาพนี้ เป็นระบบของ ซาบ และ วอลโว่ ที่ติดตั้งแล้ว ในรุ่น 9-5 และ เอส 80 หลักการทำงานที่สำคัญคือ เมื่อเกิดการชนท้ายขึ้น  หมอนพิงศีรษะจะหนุนขึ้นมามิให้คอแหงนไปด้านหลังทันที และทั้ง 2 ระบบทำงานด้วยระบบกลไก  ไม่ใช้ระบบอิเลคโทรนิคส์

แล้วหมอนพิงศีรษะในปัจจุบันล่ะ?

แม้ว่าเรายังใช้ หมอนพิงศีรษะที่ "โลว์เทค" กันไปสักนิด แต่ถ้าคุณปรับตำแหน่งได้ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาหมอนพิงศีรษะไฮเทคโนโลยีอะไรเลย  แล้วถ้าถูกชนท้ายครั้งหน้า ก็ไม่ต้องเสียสตางค์ไปรักษาอาการคอเคล็ดอีก

ลองสำรวจดูนะครับ ว่าหมอนของคุณปรับได้ดีแล้วหรือยัง