4.2 ผลกระทบจากถุงลมนิรภัย
เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัย ในระบบการจราจรของสหรัฐอเมริกา คือ NHTSA ( NATIONAL HIGHWAY TRAFFIC SAFETY ADMINISTRATION ) ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตจากถุงลมนิรภัยจำนวนกว่า 50 คน หลังจากนั้น ปัญหาของถุงลมนิรภัยที่เคยจำกัดกันอยู่ในวงแคบ ก็กลายเป็นของร้อนขึ้นมาทันที
ต่อไปนี้เป็นข้อมูลรายละเอียดจาก NHTSA ตีพิมพ์ใน CAR AND DRIVER ซึ่งนำมาให้ศึกษา และคงต้องร่วมใช้วิจารณญาณกันดูครับ
ข้อมูลจาก NHTSA
ในรายงาน ผู้ใหญ่ 19 คน ที่เสียชีวิตนั้น มีอยู่ 10 คน ไม่ใส่เข็มขัดนิรภัย, 1 คน ใส่เข็มขัดนิรภัยผิดวิธี และอีก 2 คน ไม่รู้ว่าใส่หรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงเหลือ 6 คนที่ใส่เข็มขัดนิรภัยอย่างถูกต้อง แต่ 2 ใน 6 มีหลักฐานว่าหมดสติและฟุบลงกับพวงมาลัยก่อนชน ดังนั้น 4 ใน 19 คนคือผู้ที่ใส่เข็มขัดนิรภัยถูกต้องและเสียชีวิตจากการถูกแอร์แบ็กกระแทก โดยที่ทั้งหมดเป็นผู้หญิง และ 3 ใน 4 คนมีความสูงอยู่ระหว่าง 145 - 160 เซนติเมตร
ถ้าดูในภาพรวม บังเอิญเหลือเกินที่ 15 คนจาก 19 คนที่เสียชีวิต ก็เป็นผู้หญิง!!
มาดูในด้านของเด็กกันบ้าง เด็ก 40 คน ที่เสียชีวิต 19 คนนั่งอยู่ในเบาะหน้าโดยไม่มีอะไรยึดรัดตัวเลย, 14 คนนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กชนิดหันหน้าไปท้ายรถ (REAR-FACING CHILD SEAT) แต่นำมาวางไว้ที่เบาะหน้าซึ่งไม่ถูกต้องอยู่แล้ว, 4 คนใส่เข็มขัดนิรภัยชนิด 2 จุด อีก 1 คน ไม่รู้ว่าใส่หรือไม่
จึงเหลืออยู่ 2 ใน 40 คนที่ใช้อุปกรณ์นิรภัยครบถ้วนถูกต้อง และเสียชีวิตจากแอร์แบ็ก
ผลกระทบในสองมุมมอง
มองในแง่ดี ตัวเลขผู้ที่เสียชีวิตเพราะถูกถุงลมนิรภัยกระแทกเป็นสาเหตุเดี่ยวๆอย่างชัดเจน มีไม่มากอย่างที่ตกอกตกใจกัน ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นกลุ่มที่ใช้อุปกรณ์นิรภัยกันไม่ถูกต้องครบถ้วน และมีแอร์แบ็กเป็นปัจจัยร่วม
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เสียชีวิตทั้งหมดพบว่าเกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะและคอเป็นหลัก ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะต่อการถูกกระแทกโดยถุงลมนิรภัย และทั้งหมดเกิดอุบัติเหตุที่ความเร็วต่ำกว่า24 กม/ชม. ( 15 ไมล์/ชม.) ทั้งหมดที่เสียชีวิตมีหลักฐานชัดเจนว่าถุงลมนิรภัยเป็นสาเหตุหนึ่งด้วยอย่างแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าในกลุ่มที่หลักฐานไม่ชี้ชัดและไม่ได้รวมข้อมูลไว้ด้วยนั้น มีเหยื่อของแอร์แบ็กมากไปกว่านี้อีกหรือไม่
ใครที่อยู่ในข่ายเสี่ยง?
การศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่า เด็กอายุน้อยกว่า 12 ปีที่อยู่ในที่นั่งหน้าซึ่งติดตั้งแอร์แบ็ก มีอัตราเสี่ยงสูงกว่าในรถที่ไม่มี แอร์แบ็ก 28 เปอร์เซนต์ ทางแก้ปัญหาสำหรับเด็กควรจะให้เด็กอยู่ในที่นั่งหลัง และใช้อุปกรณ์เสริมให้ถูกต้องกับอายุและขนาดของเด็ก หรือตัดถุงลมนิรภัยสำหรับด้านผู้โดยสารออก ไปเป็นออปชั่นให้เลือกจะติดตั้งหรือไม่ติดตั้งก็ได้
สำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่ต้องนั่งเผชิญหน้ากับถุงลมนิรภัย การใส่เข็มขัดนิรภัยเสมอนั้นเพียงพอต่อการป้องกันหรือไม่?
ลองย้อนไปดูตัวเลขข้างบนอีกครั้งดูครับ ผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มีร่างเล็ก ซึ่งจำเป็นต้องนั่งใกล้พวงมาลัยมากกว่าปกติ เป็นเรื่องที่กำลังวิตกกันมากในอเมริกา แล้วผู้หญิงไทยล่ะครับ ผมว่าส่วนใหญ่ทีเดียวที่เข้าข่าย "ร่างเล็ก" อย่างที่ว่านี้
พลิกปูมแอร์แบ็ก
การจะดูต้นสายปลายเหตุ คงต้องกลับไปพิจารณาประวัติศาสตร์ของถุงลมนิรภัยในอเมริกา ที่เริ่มพัฒนาขึ้นในราวปี 1970 เมื่อจะนำมาใช้งานจริงรัฐบาลจึงออกระเบียบควบคุมขึ้นคือ FMVSS 208 ( FEDERAL MOTOR VEHICLE SAFETY STANDARD) ให้ถุงลมนิรภัย เป็นอุปกรณ์ป้องกันผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ไม่ได้ใส่เข็มขัดนิรภัยเป็นหลัก เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน NHTSA กำหนดให้ทดลองโดยใช้ความเร็วในการชน 48 กม./ชม. กับหุ่นทดลองที่มีน้ำหนัก 75 กก.
ผลการทดลองที่จะพิสูจน์ได้ว่าหุ่นทดลองปลอดภัย อ่านจากเซนเซอร์ซึ่งติดตั้งที่ศีรษะและหน้าอกของหุ่นโดยแรงกระแทก ไม่เกินเกณฑ์ที่ระบุไว้ ถุงลมนิรภัยจึงต้องพองตัวอย่างเร็วและแรง ให้ทันที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนที่ของหุ่นไม่ให้พุ่งมาด้านหน้ามากนัก
ข้อมูลจากห้องทดลองโดยผู้ผลิตรายหนึ่งระบุว่า แรงกระแทกที่เกิดต่อหุ่นโดยทั่วไปจะมีค่าประมาณ 1600 ปอนด์เมื่อปะทะกับถุงลมนิรภัย ณ จุดที่มันขยายตัวเต็มที่แล้ว แต่ถ้าผู้ขับขี่อยู่ใกล้พวงมาลัยมากกว่าปกติในรัศมี 0 ถึง 2 นิ้วจากจุดที่ถุงลมพองตัวสูงสุด แรงกระแทกจะเพิ่มขึ้นได้เป็น 4000 ถึง 5000 ปอนด์ ในการทดลองแรงปะทะที่เกินกว่า 3000 ปอนด์ก็สามารถก่ออันตรายกับมนุษย์ได้แล้ว
ผู้เคราะห์ร้าย 15 ใน 19 คนที่เป็นผู้หญิง มีรูปร่างเตี้ยกว่า(ในสายตาฝรั่ง!) ทำให้ต้องเลื่อนที่นั่งใกล้พวงมาลัยกว่าปกติ จึงมีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในกลุ่มที่ว่านี้
หนทางสู่แอร์แบ็ก ที่ปลอดภัยกว่า
ในขณะนี้มีความเห็นหลากหลายมากในการหลีกเลี่ยงอันตรายดังกล่าว อันได้แก่
ล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย. 2543 นี้ ทาง NHTSA ได้ปรับปรุงมาตรฐานการทดสอบการชนใหม่แล้ว โดยจะประกาศใช้ในเร็วๆนี้ ซึ่งจะมีผลต่อถุงลมนิรภัยรุ่นหลังๆที่จะออกตามมา ซึ่งจะนำรายละเอียดมาให้ศึกษากันต่อไปนะครับ